วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2563

ของ 6 อย่าง ที่ไม่ควรเอาไว้ในรถ หากมีอยู่ควรรีบเอาออกด่วน



ของ 6 อย่าง ที่ไม่ควรเอาไว้ในรถ หากมีอยู่ควรรีบเอาออกด่วน


เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินหรือเคยเห็นเหตุการณ์รถยนต์ที่จอดอยู่ดีๆ เกิดไฟไหม้หรือระเบิดโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ แต่ท่านทราบหรือไม่ว่าสาเหตุเหล่านั้นมาจากสิ่งใกล้ตัวเราทั้งสิ้น โดยที่เราอาจไม่เคยรู้มาก่อน

ล่าสุดรายการ ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าว อสมท ได้ไปสัมภาษณ์ผู้รู้ ศดร ธีรยุทธ์ วิไลวัลย์ เกี่ยวกับข้อมูลของสิ่งของที่เป็อันตราย และไม่ควรเอาไว้บนรถเด็ดขาด เพราะอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นได้ จะมีอะไรบ้างนั้นเราไปดูรายละเอียดกันเลย


1. ขวดน้ำพลาสติก

มักจะเห็นกันอยู่บ่อยๆ เวลาขึ้นรถ แล้วจะมีขวดน้ำพลาสติกติดรถไว้ แต่รู้ไหมว่า การวางขวดน้ำพลาสติกไว้บนรถนั้น เป็นสิ่งที่ไ ม่ควรทำ เพราะเมื่อเวลาเราจอดรถไว้กลางแดดนานๆ เมื่อมีแสงส่องเข้ามาในรถจนหักเหมาตรงกับขวดน้ำพอดี กลายเป็นจุดรวมแสงทำให้เกิดไฟได้ซึ่งขวดพลาสติกเป็นวัสดุที่ติดได้ง่าย ถึงแม้จะเป็นโอกาสน้อยที่จะเกิด แต่เพื่อความปลอด ภัยควรเก็บให้พ้นแสงแดดจะดีกว่า


2. น้ำแข็งแห้ง
ถึงแม้จะมีโอกาสน้อยที่เราจะได้นำน้ำแข็งแห้งติดขึ้นรถมาด้วย แต่หากเราต้องไปซื้อของ หรือไอศกรีมที่มีน้ำแข็งแห้งติดมาบนรถ ก็อาจจะทำให้เกิดเหตุไม่คาดคิดได้ เพราะน้ำแข็งแห้งนั้น เมื่อถูกนำมาไว้ในบริเวณปิดอย่างบนรถแล้ว จะทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ไปแทนที่อากาศ และออกซิเจนลดลง หากผู้ขับขี่สูดดมเข้าไปก็อาจจะหมดสติแบบไม่รู้ตัวได้ หรือถึงขั้น ขาดอากาศ หากเลี่ยงไ ม่ได้ที่จะนำขึ้นรถ ควรวางไว้ที่ท้ายกระโปรงรถ หรือกระบะหลัง


3. กระป๋องสเปรย์
คุณอาจจะเคยเห็นข่าว ที่เอากระป๋องสเปรย์ไว้ในรถทำให้แตกได้ เพราะว่าภายในกระป๋องสเปรย์นั้น มีแก๊สอัดอยู่ภายใต้ความดันในกระป๋อง และเมื่อกระป๋องสเปรย์เจอกับความร้อนสูง จึงทำให้เกิดการขยายตัวของแรงดันในกระป๋อง ดังนั้นไม่ควรนำกระป๋องสเปรย์ หรือกระป๋องแก๊สใดๆ มาเก็บไว้บนรถโดยเด็ดขาด เพราะเวลาที่เราจอดรถไว้กลางแจ้งเป็นเวลานาน จะทำให้กระป๋องพวกนี้สร้างความเสียหายแก่รถของคุณได้


4. การบูร
หลายคนนิยมนำการบูรห้อยติดรถไว้ เพื่อไว้ดับกลิ่นบนรถ แต่รู้ไหมว่า จริงๆ แล้วการบูรไม่ควรเอาไว้บนรถเพราะการบูรนั้นจะระเหยออกมาเป็นไอ และจะไปตกค้างตามท่อแอร์ เมื่อคนสูดดมเข้าไปมากๆ ก็จะมีอาการมึนงง และทำให้การขับขี่รถยนต์มีความปลอดภัยน้อยลง เพื่อความปลอดภัยจึงไม่ควรนำการบูรมาไว้บนรถ


5. ไฟแช็ค
เราจะเห็นได้ว่า ไฟแช็กมีของเหลวที่เป็น เชื้อเพลิง ในการจุด และยังมีแก๊สเป็นส่วนประกอบ หากเรานำไปไว้บนรถที่จอดตากแดดไว้เป็นเวลานานๆ ก็อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการเหตุไม่คาดคิดได้เช่นกัน


6. อุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี่
สำหรับอุปกรณ์แบตเตอรี่ก็เช่นกัน เนื่องจากของพวกนี้จะเป็นโลหะที่สามารถนำความร้ อนได้ หากนำไปชาร์จไว้บนรถ และจอดรถตากแดดไว้ในที่ความร้อ นสูงเป็นเวลานาน ก็มีโอกาสที่จะทำให้เกิดความเสียหายได้เช่นกัน ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ควรระมัดระวังในการใช้อุปกรณ์เหล่านี้ และควรเก็บลงทุกครั้งที่ลงจากรถ

ดังนั้น เวลาที่จะจอดรถไว้กลางแจ้งเป็นเวลานานๆ ก็ควรจะตรวจสอบสิ่งของภายในรถว่ามีอะไรที่อาจทำให้เกิดเหตุไม่คาดคิดได้บ้าง
ที่มา: ชัวร์ก่อนแชร์ ศดร ธีรยุทธ์ วิไลวัลย์

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2563

อายุ 50 กว่าแล้ว ควรทำ 6 อย่างนี้เป็นนิสัยประจำ


อายุ 50 กว่าแล้ว ควรทำ 6 อย่างนี้เป็นนิสัยประจำ

1) ควรทำตัวเหมือนหมากรุก ที่บอกว่าควรทำตัวแบบหมากรุก
 นั่นก็เพราะว่า เวลาจะลุก จะยืน จะเดิน จะนั่งคิดดีๆ เดินช้าๆ
 ค่อยๆ คิด ค่อยๆ เดิน เหมือนการเดินหมากอย่าพรวดพราด ล้มลุก
คลุกคลานขึ้นมาจะลำบาก ไม่ได้ล้มแค่ เราคนเดียว มันล้มทั้ง
กระดาน เสียกระบวนไปทั้งบ้าน ต้องให้ ลูกหลานมาดูแลอีก

2) กินอยู่แบบแมวเดิน นั่นก็คือ กินเหมือนย่องเบา กินช้าๆ ค่อยๆ
 กิน กินทีละ น้อยๆ กินเบาๆ กินบ่อยได้ แต่อย่ากินเยอะ อย่ากิน
มูมมาม ระบบทางเดินอาหารไม่ได้ดีเหมือนแต่ก่อนแล้ว กินแบบ
มูมมาม จะสำลัก ขึ้นปากขึ้นจมูกเอาได้ง่ายๆ


3) ควรนอนเหมือนเมาเห็ด เมื่ออายุมากแล้วต้องนอนให้พอ หลับ
ให้สนิท อย่าคิดมากจนนอนไม่หลับ รู้สึกง่วงก็ให้นอน โดยเฉพาะ
กลางคืน นอนอย่าให้เกินสี่ทุ่มกลางวันถ้ารู้สึกง่วง ให้หาเวลางีบ สัก
สิบห้านาทีก็ยังดี จะรู้สึกสดชื่นขึ้นเยอะ เพราะอายุเยอะแล้ว ร่างกาย
อ่อนล้าง่าย ต้องพักผ่อนเยอะๆ อย่าไปโหมงานหนักเหมือนหนุ่มสาว


4) หัดออกกำลังกายให้เป็นนิสัย เหมือนว่าวันไหนไม่ได้ออก
กำลังกาย ไม่ได้เอาเหงื่อออก จะรู้สึกหงุดหงิด ครั่นเนื้อครั่นตัว อะไร
ทำนองนั้นเลย แล้วเราจะเป็นคนสูงอายุที่สุขภาพแข็งแรง

5) ต้องบินออกจากรังให้เหมือนนก นกที่นอนอยู่กับรัง เป็นนกที่
กำลังกกไข่ เราอายุปูนนี้แล้ว จะเอาไข่ที่ไหนมากก ลูกหลานที่เคย
กก ก็พากันบินออกจากรังไปสร้างรังใหม่กันหมดแล้ว
ไอ้ไข่ที่มีก็ไม่มีโอกาสฟักเป็นตัวแล้ว รีบบินออกจากรังเหมือนนก เมื่อ
ยังบินไหวอย่านั่งจับเจ่าอยู่กับบ้านตลอดวันตลอดคืน
จนกลายเป็นคนติดเก้าอี้ ติดเตียงไป จะบินไปใกล้ ไปไกล ขอให้บิน
ออกไปบ้าง ยิ่งไปเที่ยวต่างจังหวัด ต่างประเทศได้ยิ่งดีเลย
คนที่ได้ไปเที่ยวไกลๆ จะเป็นคนสดชื่นไม่เหี่ยวเฉา ไม่เหมือนพวกคน
ชราที่ติดเตียง ไม่นานก็กลับบ้านเก่า

6) ฝึกอารมณ์ให้เหมือนกิ่งไม้ไหว
ไหวพริ้วไปตามลมบ้าง นิ่งบ้าง เงียบบ้าง บางครั้งไม่ได้ดั่งใจบ้าง ก็
ให้เข้าใจได้ว่า มันเป็นกฏของธรรมชาติ ที่ย่อมเกิด ตั้งอยู่ และดับไป
เหมือนเวลากิ่งไม้หั ก ไม่เห็นมันร้องไห้ฟูมฟาย เสียอกเสียใจ แต่มัน
จะรีบงอกกิ่งใหม่เพื่อฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาทดแทนให้เร็วที่สุดเราเองก็
เช่นกัน เมื่อถึงเวลาสูญเสียสิ่งใด
ก็ต้องเข้าใจมันให้เร็วที่สุด เอาธรรมะที่มีธรรมชาติเป็นแบบอย่างมา
ทดแทนความเสียใจ แล้วชีวิตในบั้นปลายก็จะมีความสุข ด้วยความ
เข้าใจธรรมะ ที่เป็นธรรมชาติ ของความเป็นธรรมดานั่นเอง
ที่มา khaosocial.net

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563

ตำนานรอยพระพุทธบาท "รอยพระพุทธบาท" บน "ยอดเขาคิชฌกูฏ"



เรื่องเล่าขาน ตำนานรอยพระพุทธบาท ชาวบ้านแรกที่ไปพบ

ตำนานรอยพระพุทธบาท "รอยพระพุทธบาท" บน "ยอดเขาคิชฌกูฏ" ไม่ปรากฏแน่ชัด แต่มีการเล่าขานสืบต่อกันว่า ในปี พ.ศ.2397 นายติ่ง และพรรคพวก ซึ่งมีอาชีพหาของป่าได้พากันเดินเท้าขึ้นไปบนเขาแห่งนี้ พร้อมกับตั้งที่พักอยู่บนเขานี้ด้วย เพราะพวกเขาต้องไปค้างแรมบนเขาหลายวันติดต่อกัน
อยู่มาวันหนึ่ง นายติ่งและพรรคพวก เดินออกไปจากที่พัก เพื่อเสาะหาของป่า และได้พากันไปนั่งพักเหนื่อยอยู่ที่ลานหินบนยอดเขาแห่งหนึ่ง พอหายเหนื่อยแล้วก็พากันเดินกลับที่พัก แต่เดินดุ่มๆ อยู่หลายชั่วโมง ก็ปรากฏว่า วกกลับมาที่ลานหินเดิมนั้นซ้ำๆ เป็นที่น่าประหลาดใจยิ่งนัก



พวกเขาจึงตัดสินใจนั่งพักเหนื่อยที่ลานหินอยู่ชั่วครู่ โดยเพื่อนของนายติ่งคนหนึ่งได้ถอนหญ้าที่ลานหินนั้น เพื่อจะเอนตัวลงนอนให้หายอ่อนเพลีย แต่ก็ปรากฏว่า พบแหวนนาคขนาดใหญ่วงหนึ่ง นายติ่งและพรรคพวกจึงคิดว่าใครเอาของมีค่ามาซุกซ่อนไว้ ณ ที่แห่งนี้ และคาดเดากันไปว่า ที่นี่อาจจะมีทรัพย์สมบัติอีกมาก จึงช่วยกันค้นหาทรัพย์สมบัติกันยกใหญ่ แต่สุดท้ายกลับไม่พบอะไร นอกจากลานหินซึ่งมีรอยเท้าขนาดใหญ่ของมนุษย์เท่านั้น
ในขณะนั้น นายติ่งและพรรคพวกไม่มีความรู้เรื่องรอยพระพุทธบาท จึงคิดไปว่าน่าจะเป็นรอยเท้าของผู้มีฤทธิ์ จากนั้นก็เกิดความกลัวว่าจะมีโทษติดตัว เพราะไปหยิบเอาของมีค่าของผู้มีฤทธิ์ออกมา จึงพากันขอขมาต่อรอยเท้านั้น จากนั้นจึงพากันบอกกล่าว ขอให้รอยเท้าของผู้มีฤทธิ์นี้ช่วยดลบันดาลให้ตนและพรรคพวกได้กลับที่พักได้เถิด ซึ่งก็น่ามหัศจรรย์ นายติ่งและพรรคพวกสามารถหาทางกลับที่พักได้อย่างง่ายดาย

ด้วยความที่นายติ่งและพรรคพวกเป็นคนที่ไม่มีความรู้ในเรื่องรอยพระบาท จึงไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง กระทั่ง นายติ่งมีโอกาสได้ไปปิดทองรอยพระพุทธบาทจำลองที่วัดแห่งหนึ่ง ขณะที่ปิดทองรอยพระพุทธบาทจำลองนั้น นายติ่งก็พิจารณารอยพระพุทธบาทจำลองไปด้วย และนึกขึ้นได้ว่าตนเคยพบรอยเท้าลักษณะนี้บนเขา นายติ่งจึงบอกเล่าถึงความน่าฉงนนี้ให้ญาติๆ ฟังด้วย
กระทั่ง เรื่องถึงหูหลวงพ่อเพชร เจ้าคณะจังหวัดจันทบุรี ท่านเจ้าคณะจึงเรียกนายติ่งไปซักถาม เมื่อท่านเจ้าคณะได้ฟังแล้วก็สนใจเป็นอย่างมาก จึงขอให้นายติ่งนำท่านและคณะเดินทางขึ้นไปบนเขาแห่งนั้น เพื่อจะไปพิสูจน์ว่าสิ่งที่นายติ่งพูดเป็นจริงดังที่นายติ่งว่าหรือไม่

เมื่อเดินทางขึ้นไปยังเขาแห่งนั้น ก็พบตามจริงอย่างที่นายติ่งว่า เพราะที่แห่งนั้นปรากฏรอยเท้าขนาดใหญ่ และมีหินก้อนใหญ่ตั้งเด่นตระหง่านอยู่ไม่ไกลกันนัก ท่านเจ้าคณะและพระสงฆ์ที่ติดตามไปได้พิจารณากันอย่างถี่ถ้วนตามหลักของพระพุทธศาสนา และทั้งหมดต่างลงความเห็นว่า รอยเท้ามนุษย์ตรงหน้านี้ เป็นรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน
จากนั้น ท่านเจ้าคณะได้ปรารภกับทุกคนว่า "เป็นบุญเป็นลาภของชาวจันท์ที่ได้มีสิ่งอันล้ำค่าอย่างนี้" จากนั้นจึงพากันกราบไหว้ด้วยความปลาบปลื้มใจ และพากันเดินทางกลับ...




“หลวงพ่อเขียน” ผู้สร้างตำนาน “เขาคิชฌกูฏ” แห่งเมืองจันท์
แม้รอยพระพุทธบาทจะถูกค้นพบมาเนิ่นนาน (ปี 2397) แต่ผู้ที่มาบุกเบิกเปิดตำนานรอยพระพุทธบาทแห่งนี้ให้คนรู้จัก และให้พุทธศาสนิกชนได้เดินทางขึ้นไปกราบไหว้สักการะในความศักดิ์สิทธิ์ก็คือ “หลวงพ่อเขียน” เขียน ขันธสโร หรือ พระครูธรรมสรคุณ (ผู้ล่วงลับ) โดยในปี พ.ศ.2515 หลวงพ่อเขียนได้บุกเบิกทางขึ้น และนำรถยนต์ขึ้นเขาเป็นครั้งแรก ก่อนจะค่อยๆ พัฒนาเส้นทางขึ้นเขาให้ดีและปลอดภัยยิ่งขึ้นมาจนถึงปัจจุบัน




นอกจากนี้ หลวงพ่อเขียน ยังได้สอนว่า "เท้าของพระพุทธองค์ แม้ประดิษฐานอยู่แห่งหนตำบลใดก็ตาม ถ้าเรามีความเชื่อมั่น เคารพกราบไหว้ด้วยใจอธิษฐานแล้ว ย่อมเกิดผลสำเร็จแก่ผู้นั้นทุกคน และเป็นสิริมงคลแก่ผู้นั้นตลอดไป"

“แต่ต้องตั้งจิตอธิษฐานให้ดี ปรารถนาสิ่งใดที่ดีที่ชอบขอได้ตามความพอใจ กลับไปจะมีแต่ความปลอดภัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายและเทพยดาที่รักษารอยพระพุทธบาทแห่งนี้ จะอำนวยอวยพรให้ท่านได้รับแต่ความสุขตามสมบูรณ์พูนผล ร่มเย็นเป็นสุขตลอดไป”
"พวกที่ไปด้วยไม่ศรัทธาจะถูกรุกขเทวดาที่ปกปักรักษารอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏลงโทษบ่อยๆ ทุกปี" หลวงพ่อเขียน ได้บอกเล่ากับศิษยานุศิษย์.

จากไทยรัฐ

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2563

"ไม่อยากให้บัณฑิตต้องรอ" ครั้ง กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงลื่นในห้องน้ำ ต้องใช้ธารพระกร เพื่อไปพระราชทานปริญญาให้ทันเวลา


"ไม่อยากให้บัณฑิตต้องรอ" ครั้ง กรมสมเด็จพระเทพฯ ทรงลื่นในห้องน้ำ ต้องใช้ธารพระกร เพื่อไปพระราชทานปริญญาให้ทันเวลา


       เป็นเรื่องราวที่ยังคงสร้างความปลาบปลื้มให้แก่พสกนิกรชาวไทยทุกครั้งที่ได้ฟัง หลังจากสมาชิกเฟสบุ๊กรายหนึ่ง ออกมาบอกเล่าเรื่องราวในขณะที่ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ไปเพื่อจะพระราชทานปริญญาบัตรแด่บัณฑิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อเดือนมกราคม 2558


 โดยในเฟสบุ๊กนั้นเล่าเรื่องราวไว้ว่า วันนี้ กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ทรงหกล้มในห้องน้ำที่บ้านสันผีเสื้อ ระหว่างที่พระองค์เสด็จฯ ไปเพื่อจะพระราชทานปริญญาบัตรแด่บัณฑิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่เมื่อคืน และในเช้าถัดมา พระองค์ได้เสด็จมา รพ.สวนดอก (โรงพยาบาลมหาราช เชียงใหม่) แบบส่วนพระองค์ เสร็จแล้วให้รถรพ.มาส่งที่เรือนรับรองข้างหอประชุมโดยไม่ให้ใครรู้



"น้องที่รอถวายมาลัยตั้งแต่ 7 โมงเห็นตอนลงรถต้องใช้ไม้เท้า ท่านพักอยู่ในนั้นรอจนได้เวลาเสด็จออกตามหมาย 9 โมงทั้งๆ ที่มีคำสั่ง (จากใครไม่ทราบนะ) ว่าให้เริ่มก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง เห็นคณบดีแพทย์ถือฟิล์มเอ็กซเรย์มาด้วย เห็นว่ากระดูกตรงสะโพกมีปัญหา..."

       ท่านเลยใส่ที่ดามตรงเอวลงมา ขาออกจากห้องประทับถึงจะเริ่มเป็นพระราชพิธี ท่านทรงพระดำเนินตามปกติแต่ช้าหน่อย และยังหยิบใบปริญญาส่งได้

เล่าให้พวกเราฟังเพื่อให้เห็นความอดทนของพระองค์ท่านซึ่งเมตตากับบัณฑิตตั้งกว่า 5 พันคน และผู้ปกครอง ขอพระองค์ทรงพระเจริญ


วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2563

จำขึ้นใจเมื่ออยากสำเร็จ





บางครั้งเราก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาชีวิตเพียงลำพัง โดยที่เราไม่สามารถไปขอร้องหรืออ้อนวอนให้ใครช่วยเรา สิ่งที่เราทำได้ก็คือเผชิญหน้าและแก้ปัญหาเหล่านั้นให้ได้ด้วยตัวเอง บทความนี้เราเลยจะมานำเสนอ “จำให้ขึ้นใจเมื่อคุณต้องแบกปัญหาชีวิตลำพัง” จะมีอะไรบ้างนั้นเราไปอ่านพร้อมๆกันได้เลยค่ะ





1.สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความขี้เกียจ
ความขี้เกียจคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตเราเลยก็ว่าได้ คนส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จในชีวิตได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาขี้เกียจหรือเปล่า เพราะฉะนั้นหากเมื่อใดก็ตามที่เรารู้สึกขี้เกียจที่จะทำงานก็ขอให้เราสลัดมันทิ้งไปไม่อย่างนั้นเราอาจจะเจอกับปัญหาตามมาได้

2.การเดินไปหาความสำเร็จมักจะเหนื่อยเสมอ
ไม่มีทางเดินไปสู่ความสำเร็จไหนที่ง่ายพร้อมโรยกลีบกุหลาบเอาไว้ มีแต่ความยากลำบากและทางเดินที่ต้องใช้ความอดทนและความเหนื่อยยากลำบากถึงจะได้มาเท่านั้น


3.การหนีปัญหาไม่ช่วยให้ปัญหาหมดไป
หลายคนมักที่จะเลือกหนีปัญหาเพราะคิดว่าพวกเขาอาจจะหนีมันพ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วการหนีปัญหาคือการเพิ่มปัญหาเข้ามาในชีวิตมากกว่าเดิม สิ่งที่จะช่วยให้เราแก้ปัญหาได้คือการเผชิญหน้าและแก้ไขมัน


4.อย่าหวังพึ่งแต่ดวงหรือโชคลาภ
คนที่รอโชคลาภหรือดวงมักจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะพวกเขามัวแต่หวังในสิ่งที่อาจจะไม่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา หลายคนมักจะหวังโชคชะตาให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ แต่พวกเขาไม่คิดที่จะขีดเขียนโชคชะตาของพวกเขาเอง


5.ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง
การพึ่งพาตนเองเป็นอันดับแรกนั้นคือสิ่งที่เราควรทำก่อนที่เราจะขอความช่วยเหลือคนอื่น การที่เรามัวแต่ไปหวังพึ่งคนอื่นมากจนเกินไป อาจจะทำให้เราไม่สามารถทำอะไรประสบความสำเร็จได้เลยในชีวิต
และนี่ก็คือ 5 ข้อที่ต้องจำให้ขึ้นใจเมื่อคุณต้องแบกปัญหาชีวิตเพียงลำพัง หากเมื่อใดก็ตามที่เราสามารถผ่านมันมาได้ นั่นก็หมายความว่าเราได้เติบโตและเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้นแล้วนั่นเอง

ไม่มีเงินก็สามารถทำบุญได้เหมือนกัน


ไม่มีเงินแบบคนรวย ก็สามารถทำบุญได้ ลองทำตามวิธีนี้

เป็นอีกหนึ่งคำสอนที่ดีมากเลย อยากให้ทุกๆท่านนั้นได้อ่าน หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม วิสัชนา ได้กล่าวไว้ว่า…
ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย ขอเจริญพร จะแยกแยะให้ท่านฟังญาติโยมพุทธศาสนิกทั้งหลายไม่เข้าใจกันมากคำว่าบุญการไปทำบุญตักบาตร ทอดกฐินบ้างทอดผ้าป่าบ้าง การนำเอาอาหารไปถวายพระ ก็ถือว่าทำบุญ
แล้วก็เอาของทั้งหลายนำจตุปัจจัย ไปถวายพระก็ถือว่าทำบุญ เข้าใจอย่ างนั้นก็ถูกต้อง แต่แยกแยะการทำบุญได้ซึ่งมีหลายประการและมีหลายประเภท มีทั้งบุญนอกและบุญในที่ถามอาตมาว่า
“ไม่มีเงินไป” ทำบุญได้ไหมได้ร้อยเปอร์เซ็นต์บางคนเอาสตางค์ไป เอาปัจจัยไปถวายผ้าป่า ถวายเป็นพัน
แต่ได้บุญแค่ 10 บาท แต่คนไม่มีสตางค์ เอากำลังกายเอากำลังใจกำลังจิตเป็นกุศลไปสร้างบุญให้เกิดความสุขและก็เข้าไปในหลักปัตตานุโมทนามัยบุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนา” เอากำลังกายช่วยเขา
เอากำลังใจช่วยเขา…ยกตัวอย่างสมัยพุทธกาล ตาสีตาสาไปช่วยงานกฐิน เงินสตางค์เดียวก็ไม่มี เพียงการอนุโมทนาก็ยังไปสวรรค์ได้ หรือไปรับพร ขอเจริญพร พี่น้องทุกคนโปรดทราบไว้บางทีพระให้พร ยถาสัพพี อนุโมทนา

บางคน ทำบุญ รับพรไม่เป็นแต่คนหนึ่งไม่ได้มาทำบุญไม่ได้เอาสตางค์มาแต่ยืนตั้งใจรับพร เป็นคาถาของพระพุทธเจ้า
ท่านให้เราอยู่เย็นเป็นสุขและก็ให้เราเป็นสุข จิตใจก็รับตั้งใจรับ ก็เกิดความสุข กลับได้รับพรโดยไม่มีสตางค์
นี่ก็เป็นบุญอันหนึ่งทำบุญนี่ไม่ต้องมีอะไรก็ได้ เช่นยกตัวอย่ าง คำว่าบุญ คือ ความสุขไม่จำเป็นเสมอไป

ที่จะต้องเอาของมาถวายพระ แต่บ้านเหนือบ้านใต้ ญาติพี่น้องที่เรียกว่าญาติธรรม เป็นญาติกันในบ้านใกล้เรือน
เคียงเขามีงานก็ไปช่วย ช่วยด้วยจิตเป็นกุศล เขาทำบุญ ทำบุญบ้านทำบุญทอดกฐิน งานบวชนาค

เราก็ไปช่วยเขาเอากำลังกายไปช่วย เหนื่อยย าก เหนื่อยกายแล้วก็สบายใจ ก็ได้บุญ คือความสุขที่ได้ช่วยเขา
ก็เป็นบุญอันหนึ่ง เป็นบุญอันสำคัญ และบุญอีกอันหนึ่ง สวดมนต์ไหว้พระ ไม่ต้องใช้สตางค์เลย
“สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน”
ทั้งกินทั้งทาก็เกิดความสุขความเจริญได้ เกิดทำให้เงินไหลนองทองไหลมา ทำให้ร่ำรวยได้โดยไม่ต้องใช้

สตางค์เลยบางคนไม่เข้าใจ เข้าใจว่าต้องมีเงินมากๆแล้วจึงไปทำบุญในวัดวาอารามต่างๆถ้าคนไม่มีจะทำอย่างไรได้
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มีศีลสอนให้ปฏิบัติศีลสอนให้ปฏิบัติธรรม สอนให้อย่าประมาทอย่าง
นี้ไม่ต้องใช้สตางค์ ก็ทำให้เกิดความสุขความเจริญได้
ที่มา : postsara

มนุษย์เงินเดือนทำได้ “ใช้เงินวันละร้อย” เพื่อก้าวแรกสู่เงินล้าน


มนุษย์เงินเดือนทำได้ “ใช้เงินวันละร้อย” เพื่อก้าวแรกสู่เงินล้าน


ในโลกออนไลน์ได้เคยมีการแชร์รูปเด็กน้อยคนหนึ่งถือเงินเป็นปึกๆ (ประมาณ 9 แสนบาท) พร้อมข้อความระบุว่า “ขอชื่นชมครับคุณพ่อ” อยากรู้จริงๆ ว่าคุณพ่อของน้องได้เงินเดือนเท่าไหร่ เป็นมนุษย์เงินเดือนหรือไม่
พออ่านไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอกับประโยคนี้ “ทุกสิ่ง ทุกอย่าง อยู่ที่ความตั้งใจ เงิน จะหามาง่ายหรือยาก หากไม่รู้จักประหยัดหรือเก็บออม ก็ไม่มีอยู่ดี คิดดี ทำดี ผมสนับสนุนครับ”

หลายคนชื่นชมในความรักของพ่อและความน่ารักของลูกสาวจนแอบตั้งปณิธานว่าลูกผมต้องไม่ลำบากเหมือนกันถ้ารู้จักออมตั้งแต่วันนี้ เชื่อเถอะว่ามนุษย์เงินเดือนก็มีเงินล้านได้ อาจจะใช้เวลา 10 ปี ถ้าวางแผนดีๆ ตั้งแต่ก้าวแรก
ก้าวแรกสู่การมีเงินล้าน สวัสดีครับเพื่อนๆ ทุกคนครับ ผมชื่อ Tom Percy … จุดประสงค์ที่ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาก็มีอยู่ด้วยกัน 2 ประเด็นครับ

1. ต้องการขอบคุณแบบอย่างที่ดีทุกท่านในกระทู้พันทิป หรือจากเพจต่างๆ ที่เป็นแนวทางให้ผมจากมนุษย์เงินเดือนคนหนึ่งที่ไม่มีเงินเก็บได้รู้จักเก็บเงิน
2. ต้องการเป็นกำลังใจให้กับเพื่อนๆ ทุกคน ที่ไม่มีเงินเก็บเลยได้มีโอกาสได้เก็บเงินสู่ความมั่งคั่งในอนาคต
เข้าเรื่องเลยครับ ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆ ที่รายได้ไม่ได้มากมายอะไร ทำงานวันจันทร์ถึงวันเสาร์ และใช้ชีวิตแบบเหนือมาตรฐานเงินเดือนที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็น กาแฟสุดหรูแก้วละ 50-60 ต่อวัน หรือจะเป็นบุฟเฟ่ต์ในห้างสรรพสินค้าชื่อดังทุกวันอาทิตย์ และอื่นๆ อีกมากมาย เพื่อมาทดแทนแรงกายที่เสียไปในแต่ละวันของการทำงาน

แต่แล้ววันหนึ่งผมเริ่มเห็นเพื่อนหลายคนแต่งงาน มีรถ มีบ้าน ไปต่างประเทศ และมีเงินเก็บมากมาย ทั้งๆ ที่วิถีชีวิตของเพื่อนๆ ผมก็ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบที่ผมใช้เลย แต่กลับใช้ชีวิตเรียบง่าย นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมหันกลับมามองตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
หลังจากที่ผมคิดได้แล้ว ก็เริ่มมาศึกษาหาข้อมูลต่างๆ ในเพจต่างๆ รวมทั้งพันทิป มีคนมากมายสอนวิธีการเก็บเงิน วิธีรวยต่างๆ มากมาย ซึ่งนั่นเองทำให้ผมรู้ว่าเพราะอะไรทำไมผมถึงไม่มีเงินเก็บเลย แถมชักหน้าไม่ถึงหลัง เดือนชนเดือนด้วยซ้ำ
ซึ่งหลังจากผมศึกษามาหลายแบบ ก็เริ่มตัดสินใจลงมือทำทันที ถึงจะช้าไป (ตอนนี้อายุ 30 แล้ว) แต่ผมคิดว่า ไม่มีอะไรสายเกินไป อายุเป็นแค่ตัวเลขจริงไหมครับ? ผมเลยลำดับมาคร่าวๆ ตามนี้ครับ
1. ตั้งเป้าหมายชีวิตและเป้าหมายทางการเงิน
ตลอดชีวิต 30 ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยตั้งเป้าหมายอะไรเลยสักครั้ง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องตั้งเป้าหมาย ได้แต่ใช้ชีวิตแบบวันต่อวัน เดือนชนเดือน ซึ่งหลังจากที่ผมทำการตั้งเป้าหมายให้ชีวิต มันทำให้ผมมีกำลังใจที่จะเก็บเงิน อย่างน้อยก็รู้ว่าเราทำไปเพื่ออะไร เพื่อใคร
ผมตั้งเป้าหมายว่าต้องเก็บเงินไปต่างประเทศให้ได้ภายใน 2 ปีนี้ (เกิดมาไม่เคยไปต่างประเทศเลย) และนั่นทำให้ผมเริ่มมีกระปุกออมสินพิเศษ นั่นคือ “กระปุกออมประสบการณ์จากต่างแดน” เป็นใบแรก

2. เริ่มจดบัญชีรายรับ-รายจ่าย
ปกติทุกครั้งที่ผมจ่ายเงินออกไป จะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจ่ายค่าอะไรไปบ้าง คือในกระเป๋ามีเงินอยู่เท่าไรต้องใช้ให้หมด เพราะมันคือความสุขในการใช้ชีวิต และผมได้ใช้ชีวิตแบบไฮโซโก้เก๋ด้วย ซึ่งนั่นคือความคิดที่ผิดมาก
แต่หลังจากที่ผมทำบัญชีรายรับรายจ่าย แรกๆ ก็ขี้เกียจที่จะลงบันทึกทุกสิ่งอย่าง แต่หลังจากที่ได้ทำมันแล้ว สิ่งหนึ่งที่ได้ทำให้ผมมีวินัยในการใช้จ่ายมากขึ้น คิดก่อนใช้ (เพราะขี้เกียจจดเลยไม่จ่ายดีกว่า)

3. แบ่งเงินใช้ในแต่ละวัน
ปกติผมจะกดเงินสดมาไว้ในกระเป๋าครั้งละหลายบาท พอใช้หมดก็กดใหม่ เป็บแบบนี้ไปจนสิ้นเดือนและเงินก็หมดในที่สุด ผมเจอวิธีนี้จากเพจเช่นกัน ผมจึงเริ่มทันทีด้วยการแบ่งเงินออกเป็นส่วนๆ ผมเชื่อว่าการกินวันละ 100 บาทนั้นสามารถอยู่ในกรุงเทพฯได้ (มีคนทำมาแล้ว)
ผมก็เลยแบ่งเงินออกเป็น 30 กอง กองละ 100 บาท และสามารถใช้ได้แค่วันละ 100 เท่านั้น (เฉพาะเงินกิน ไม่รวมค่าเดินทางและอื่นๆ) ซึ่งตอนแรกผมมองว่าโคตรยาก แต่หลังจากลงมือทำไปได้สัก 1 อาทิตย์ ไม่น่าเชื่อ ผมสามารถกินอาหารได้วันละ 100 บาทได้จริงๆ ด้วย
***สำหรับที่ถามว่า 100 บาทผมกินอะไร ในเมืองกรุง
เช้า แซนวิชโฮลวีต (เน้นผัก) 30 บาท
กลางวัน ข้าวแกงปลอดสารพิษ ร้านป้า ข้างที่ทำงาน 35 บาท
เย็น ก๋วยเตี๋ยว/สลัดผัก 35 บาท
รวมทั้งสิ้น 100 บาท (และต้องหยอดกระปุกเพิ่มด้วย 20 บาท จากเงินที่มีอยู่)

4. เก็บภาษีเงินได้ และภาษีเงินจ่าย (ทันที)
ผมตั้งกฏไว้อีกหนึ่งข้อว่า ไม่ว่าจะรับเงินมากจากทางใดก็ตาม (รวมทั้งเงินเดือน) ต้องเก็บในกระปุกทันที 10% และ ไม่ว่าจะใช้จ่ายอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรื่องกินหรือเรื่องเที่ยว (ยกเว้นค่าผ่อนรถ ค่าไฟ ค่าน้ำ) ให้เก็บเงินเข้ากระปุกทันที 20% นั้นก็คือ
หากซื้อข้าวจานละ 100 บาท นั่นผมต้องจ่าย 120 บาทเลยทีเดียว โอย..คิดหนักๆ แต่สิ่งนี้ทำให้ผมมีเงินเก็บอีกหนึ่งกองด้วยกัน หลังจากหยอดทุกวัน ตั้งแต่ต้นเดือนจนถึงปลายเดือน ก็มีเงินพอสมควร หลังจากนั้น ผมก็จดจำนวนเงินนั้นใส่การ์ดไว้ แล้วนำการ์ดนั้นใส่กระปุกไว้ เพื่อให้รู้ว่าเดือนนั้นเราเก็บเงินได้เท่าไร
5. ลงทุน
ผมเริ่มศึกษาการลงทุนรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น LTF RMF หรือหุ้น หรือเงินออมทรัพย์ ประกันชีวิต มีมากมายก่ายกองสำหรับการลงทุนเพื่อใช้เงินไปทำงานแทนเรา ผมเองก็เริ่มเช่นกัน นำเงินที่ได้จากการเก็บนี้แหละครับ ไปลงทุนในรูปแบบต่างๆ

ผมเริ่มจากกองทุนรวมที่ไม่มีขั้นต่ำ เพราะเงินเก็บเดือนแรกไม่ได้มากมายอะไร และอีกส่วนหนึ่งก็นำไปลงทุนในอาชีพเสริม ไม่ว่าจะขายของออนไลน์ หรืออะไรก็แล้วแต่เพื่อสร้างเม็ดเงินเพิ่มขึ้น และผมเชื่อว่าพี่ๆ น้องๆ ที่อ่านอยู่นี้ มีวิธีเพิ่มพูนทรัพย์สินหลากหลายวิธีมากกว่าผมแน่นอน
สุดท้ายนี้ ขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ถึงแม้จะได้ประโยชน์มากน้อยอย่างไรกลับไป แต่สิ่งหนึ่งที่ผมดีใจนั่นก็คือ ผมได้ตอบแทนบุญคุณพี่ๆ น้องที่เขียนประสบการณ์แบบนี้ ในเพจต่างๆ และพันทิปไว้

ซึ่งผมนำมาใช้และทำ ทำให้ผมมั่นใจว่าเงินหนึ่งล้านแรกไม่น่าจะยากจนเกินไปสำหรับผม ผมเป็นลูกชาวนา ไม่ได้มีเงินทองมากมายติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่ผมตั้งใจที่จะส่งต่อประสบการณ์นี้ ให้กับคนรุ่นต่อไป ตอบแทนสังคมคืนกลับไป
แหล่งที่มา: เนื้อหาและรูปภาพ Tom Percy สมาชิกเว็ปไซต์พันทิปดอทคอม

เกิดราศีมังกร ปีชวด วันจันทร์ ปี 2024 ต้องทำแบบนี้ รวยแน่นอน

       คนเกิด วันจันทร์ ปีชวด ราศีมังกร    คุณรู้ตัวหรือเปล่าคะว่า คุณเป็นคนเก่ง มีความสามารถ  ดานิตา พยากรณ์ ขอแนะนำนะคะ ปี 2024  คุณต้องคิ...